แอร์ประเภทต่างๆ และมีวิธีเลือกซื้ออย่างไร

แอร์ประเภทต่างๆ

แอร์ประเภทต่างๆ ถือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว อย่างที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยบ้านเราเป็นเมืองร้อนที่มีอากาศร้อนอบอ้าวตลอดทั้งปี และเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนอุณหภูมิจะสูงเกิน 40 องศาฯ เลยทีเดียว ดังนั้น เครื่องปรับอากาศ จึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าจำเป็นที่ทุกบ้านและทุกบริษัทห้างร้านต้องมี ไม่ใช่แค่บ้านเดี่ยวแต่เพียงอย่างเดียว แต่บ้านเช่า หอพัก ที่ต้องการความสบายก็ได้มีการติดตั้งแอร์มากขึ้นเรื่อยๆ หลายบ้านมีมากกว่าหนึ่งเครื่องด้วยซ้ำ และสำหรับวันนี้พี่เข้จะมาแนะนำ แอร์ ประหยัดไฟดูยังไง มีกี่ประเภท แต่ละประเภทเหมาะกับห้องแบบไหนบ้าง ? ตามมากันเลยครับ

ตามท้องตลาดมีแอร์อยู่ 2 ประเภท ดังนี้

  1. Econo Air  : Econo Air เป็นแอร์ระบบธรรมดา ลักษณะการทำงานจะเป็นแบบ Fixed Speed คือให้อุณหภูมิคงที่ ตั้งไว้ที่ตัวเลขอุณหภูมิเท่าไหร่จะอยู่เท่านั้นคงที่ ยกตัวอย่างตั้งไว้ 25 องศา เมื่ออุณหภมิห้องอยู่ที่ 25 องศา (ในความเป็นจริงจะตัดที่ 23-24 องศา) คอมเพรสเซอร์ก็จะตัดการทำงานของ คอมเพรสเซอร์ ระบบนี้จะให้ความรู้สึกว่าเย็นฉ่ำตลอดเวลาเพราะว่า แอร์ จะตัดการทำงานต่ำกว่าค่าอุณหภูมิที่ผู้ใช้ตั้งไว้ 1-2 องศานั่นเอง และเมื่ออุณหภูมิห้องสูงขึ้น คอมเพรสเซอร์ ก็จะทำงานใหม่อีกครั้ง จะเป็นการทำงาน 100% นอกจากนี้ Econo Air ช่องประหยัดไฟเบอร์ 5 จะสังเกตว่ามีตัวอักษร EER (Energy Efficiency Ratio) ที่ช่องประสิทธิภาพ จะมีตัวเลขเขียนไว้ ยิ่งตัวเลขสูง ยิ่งประหยัดไฟมากนั่นเอง
  2. Inverter : Inverter Air หรือ แอร์ที่ปรับอุณหภูมิได้ด้วยตัวเองตามสภาพแวดล้อมกำลังเป็นที่นิยมในเวลานี้ แอร์ระบบนี้จะมีตัวตรวจจับอุณหภูมิอยู่หลายตัวทำให้รักษาค่าอุณหภูมิห้องได้อย่างแม่นยำมาก การตัดการทำงานของตัวคอมเพรสเซอร์ จะตัดอยู่ที่ 0.5 องศาบวกลบอุณหภูมิที่ตั้ง ซึ่งต่ำกว่าแอร์ระบบธรรมดา (Econo Air) ดังนั้นความเย็นในห้องจะเสถียรกว่า การทำงานของ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ คอมเพรสเซอร์จะเริ่มทำงานที่ 120% เพื่อปรับอุณหภูมิห้องให้ลดลงตามผู้ใช้กำหนด หลังจากนั้นคอมเพรสเซอร์ก็จะไม่หยุดการทำงานเพียงแต่จะลดรอบการทำงานลง ผลที่เกิดขึ้นก็คือจะไม่กินไฟเหมือนระบบแอร์ระบบธรรมดา ที่คอมเพรสเซอร์จะหยุดการทำงานเมื่ออุณหภูมิได้ที่และเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่ออุณหภูมิห้องเริ่มสูงขึ้นนั่นเอง แอร์อินเวอร์เตอร์ จะใช้ค่าที่เรียกว่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) เป็นค่าวัดประสิทธิภาพ ซึ่งประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับฤดูกาลโดยจะเขียนติดไว้ที่ฉลากเบอร์ 5 อย่างชัดเจน ยิ่งตัวเลขมากยิ่งประหยัดไฟมากเช่นกัน

ห้องที่เหมาะสมสำหรับแอร์แต่ละชนิด

สำหรับแอร์ Inverter เหมาะสำหรับห้องที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ เช่น ห้องนอน เป็นต้น ส่วนแอร์ Econo เหมาะกับติดตั้งในสำนักงาน ห้องรับแขก โชว์รูมแสดงสินค้า หรือห้องที่มีความผันแปรของอุณหภูมิมากกว่าคือพูดง่ายๆ ห้องที่มักเปิดเข้าเปิดออกตลอดเวลานั่นเอง นอกจากเลือกแอร์ให้ถูกต้องกับห้องส่วนต่างๆ แล้ว สิ่งสำคัญที่จะช่วยประหยัดไฟ รวมถึงยืดอายุการใช้งานให้กับแอร์นั้น เจ้าของบ้านก็ควรใส่ใจด้วยเช่นกัน เช่น ติดผ้าม่านกรองแสงเพื่อไม่ให้แสงผ่านเข้ามาในห้องช่วยให้แอร์ไม่ทำงานหนักจนเกินไป หรือสำรวจดูประตู หน้าต่าง ว่าปิดสนิทหรือมีรอยแตกร้าวที่มุมวงกบจนสามารถมองเห็นภายนอกได้หรือไม่ก็จัดการซ่อมแซมรอยแตกให้เรียบร้อย หรือไม่ควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำความร้อนในห้องแอร์ เช่น กาต้มน้ำ ไมโครเวฟ เป็นต้น และอีกสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้ท่านเจ้าของบ้านประหยัดไฟได้ไม่แพ้กันก็คือใช้ อะคริลิกทากันซึม และสะท้อนความร้อน จระเข้ รูฟ ชิลด์ ทาที่หลังคาหรือดาดฟ้าที่ไม่มีสภาพเป็นแอ่งน้ำขัง นอกจากจะช่วยป้องกันการรั่วซึมได้ผลดีเยี่ยม ยังสะท้อนความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ 55-80% ช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านได้ 2-6 องศา อีกด้วย และทั้งหมดนี้ก็คือบทความสาระความรู้ดีๆ ที่พี่เข้นำมาฝากทุกท่านในวันนี้ กลับมาพบกันใหม่ครั้งหน้าสวัสดีครับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *